1.2 ความนำ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นในบทนำนั้นว่า การดำรงอยู่ซึ่งบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งชายและหญิงนั้นมีการดำรงอยู่ที่เป็นความแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนั้นหาใช่ความแตกต่างอันเกิดจากลักษณะทางธรรมชาติหรือความแตกต่างในเรื่องของสรีระร่างกายซึ่งเป็นความแตกต่างที่ธรรมชาติสร้างให้เราแตกต่างกันมาตั้งแต่กำเนิดไม่สามารถที่จะฝืนหรือเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญเหล่านั้นได้เพียงเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นกลับเป็นความแตกต่างในแง่ของสิ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาจากการนำเอาความแตกต่างทางด้านสรีระมาเป็นตัวกำหนด หรือเป็นพื้นฐานในการตีความและการสร้างองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่นำมาสู่การปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เท่าเทียมกันในแต่ละเพศตามความคิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ซึ่งเป็นนักวิจัย ภาควิชาเวชศาสตร์สังคมและสิ่งแวดล้อม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างดังกล่าวนี้นั้นว่า ความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) เช่นเดียวกับสังคมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในโลก นั่นคือ “ชายเป็นผู้นำ หญิงคือผู้ตาม ชายคือผู้กำหนด หญิงเป็นผู้รับไปปฏิบัติ” ซึ่งการที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่สถานภาพของเพศชายที่เหนือกว่าเพศหญิงนั้นเป็นผลมาจาก แนวความคิดสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดำรงอยู่ในสังคมมาอย่างยาวนานในทุกสังคมของโลก (รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง, 2540: 62) จะเห็นได้ว่าการกำหนดบทบาทและสถานภาพทางเพศที่แตกต่างกันดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากการที่ชุดของความรู้ชุดหนึ่ง ๆ เข้าไปมีอิทธิพลเหนือจิตสำนึกของกลุ่มคนทำให้ผู้คนในสังคมเหล่านั้น มีค่านิยม มีแนวความคิดความเชื่อที่ยึดโยงสัมพันธ์กับแนวทางปฏิบัติตนของตนเองแม้ในวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตนเองก็ตามแต่ และในแง่คิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นได้มองว่าชุดของความรู้ที่เป็นสิ่งยึดโยงการกระทำการต่าง ๆ เหล่านั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ระบบสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ทีทำให้วาทกรรมของความเป็นเพศมีบทบาทและสถานภาพที่แตกต่างกัน
ในที่นี้ผู้ศึกษาได้กล่าวมาแล้วในแนวทางของการการศึกษาว่าผู้ศึกษานั้นจะได้วิเคราะห์ความเหมือนหรือความแตกต่างกันของทั้งบทบาทและทั้งของสถานภาพทางเพศทั้งชายและหญิงโดยวิเคราะห์จากวรรณกรรมในฐานะที่วรรณกรรมเหล่านั้นเป็นวาทกรรมที่มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งต่อการสร้างความจริง ความรู้ ชุดของระบบความคิดต่าง ๆ ขึ้นมาในสังคม ในการศึกษานี้ผู้ศึกษาจึงจะได้ใช้แนวคิด วาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) เพื่อใช้เป็นกรอบในการมอง แยกแยะความสัมพันธ์ เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่ง/แนวคิดต่าง ๆ ที่ฝังแฝงอยู่ภายในแนวคิด/ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย นั่นเอง
1.2 กรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาในหัวข้อศึกษานี้ผู้ศึกษาจะใช้แนวคิดในการที่จะนำมาใช้เป็นกรอบในการมองปรากฏการณ์ผ่านวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานนี้นั้นเพียงแนวคิดเดียว ซึ่งผู้เขียนมีความคิดว่าการมองวรรณกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวในฐานะของการเป็นวาทกรรมตามแนวความคิดของ มิเชลล์ ฟูโกต์ เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะวิเคราะห์โดยมองว่าวรรณกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นในฐานะของการเป็นวาทกรรมที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมอย่างไรบ้าง
ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้น ผู้ศึกษาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการที่จะแสวงหาหรือทดสอบเพื่อที่จะพัฒนาการสร้างทฤษฎีขึ้นมาใช้ใหม่ที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์หรือสามารถสร้างข้อสรุปในลักษณะทั่ว ๆ ไปได้ แต่ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้นผู้ศึกษาเพียงมุ่งที่จะสร้างกรอบเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในเรื่องของการมีบทบาทในการกำหนดและส่งอิทธิพลต่อการดำเนินไปซึ่งบทบาทและสถานภาพของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมเท่านั้น ซึ่งในที่นี้นั้นผู้ศึกษาจึงได้เลือกใช้แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault) เพื่อมาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมา
1.2.1 แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault)
วาทกรรม (Discourse) ในการศึกษาชิ้นนี้ผู้ศึกษามิได้นำวาทกรรมมาใช้ในฐานะของการเป็นเพียง ภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกันเท่านั้น แต่จะยึดโยงกับความหมายเดียวกันกับที่ มิเชลล์ ฟูโกต์ ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักเขียน และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้กล่าวถึงวาทกรรมไว้ว่า วาทกรรม หมายถึงระบบ และกระบวนการในการสร้าง/ผลิต (Constitute) เอกลักษณ์/อัตลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Significance) ให้กับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจริง อำนาจ หรือตัวตนของเราเอง นอกจากนั้นแล้ว วาทกรรมยังคงทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นให้ดำรงอยู่และเป็นที่ยอมรับของสังคมในวงกว้าง (Valorize) จนกลายเป็นวาทกรรมหลัก (Dominant Discourse) ขึ้นมาในสังคม และยังมองว่า วาทกรรม คือระบบที่ทำให้การพูด/การเขียนถึง (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องต่าง ๆ ในสังคมหนึ่ง ๆ เป็นไปได้ เพราะวาทกรรมจะเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข และกลไกต่าง ๆ ในการพูด การเขียน (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องราว/ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 19 – 20) จากที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น จะทำให้ราเห็นว่า วาทกรรมนั้นเป็นมากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกัน แต่วาทกรรมนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในรูปแบบต่าง ๆ อยู่ ซึ่งรวมถึงจารีตปฏิบัติ ความคิด ความเชื่อ คุณค่า และสถาบันต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ด้วย ในงานเขียนของอาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้ยกคำกล่าวของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหนังสือชื่อว่า “Politics and the study of discourse” มาไว้ในงานเขียนว่า (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 21) “มิเชลล์ ฟูโกต์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า : วาทกรรมถูกสร้างขึ้นจากความแตกต่างระหว่างสิ่งที่สามารถพูดได้อย่างถูกต้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ภายใต้กฎเกณฑ์และตรรกะชุดหนึ่ง) กับสิ่งที่ถูกพูดอย่างแท้จริง สนามของวาทกรรมในขณะใดขณะหนึ่งก็คือกฎเกณฑ์ว่าด้วยความแตกต่างนี้ ฉะนั้น วาทกรรมจึงสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง กฎเกณฑ์นี้จะเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือ การเลือนหายของสรรพสิ่ง นั่นคือควบคู่ไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมสร้างขึ้น ยังมีการสร้างและการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกพูดถึงโดยวาทกรรมอีกด้วย” เอกลักษณ์และความหมายในความคิดของฟูโกต์ นั้นเป็นเรื่องของการใช้อำนาจและความรุนแรงเข้าไปบังคับยัดเยียดให้เป็นของวาทกรรมชุดหนึ่ง และขณะเดียวกันวาทกรรมดังกล่าวนั้นก็จะเก็บกด บดบัง ปิดกั้น ขจัด หรือทำลายมิให้สิ่งที่แตกไปจากเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่วาทกรรมนั้นสร้างขึ้นมาปรากฏตัวขึ้น มากกว่าเป็นเรื่องของการผูกติดกันอย่างเหนียวแน่นของคุณสมบัติเฉพาะ (Attributes) บางอย่างในตัวของสิ่งเหล่านั้นเอง ที่ทำให้เป็นอยู่อย่างที่เข้าใจกัน เช่น อวัยวะเพศกับความเป็นชาย หรือกับความเป็นหญิง บัตรประจำตัวประชาชน (Identification Card) และหนังสือเดินทาง (Passport) กับความเป็น พลเมือง เหล่านี้เป็นต้น จะเห็นได้ถึงความสอดคล้องสัมพันธ์กันส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องที่เกี่ยวกับวาทกรรมที่อาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ที่ได้ตีความมาจากงานเขียนของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหลาย ๆ ชิ้น ซึ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับแนวคิดเรื่องตัวกำหนดบทบาททางเพศและสถานภาพทางเพศของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่ว่าความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) หาใช่ความแตกต่างที่เป็นความแตกต่างทางเพศที่เป็นเรื่องธรรมชาติ/ธรรมดาแต่อย่างใด
กล่าวโดยรวมแล้วความคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรมของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ที่ผู้ศึกษานั้นได้ใช้การศึกษาผ่านการตีความจากงานเขียนของท่านอาจารย์ ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ในงานเขียนเรื่อง “วาทกรรมการพัฒนา : อำนาจ ความรู้ ความจริง และความเป็นอื่น” ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วนั้น กล่าวโดยรวมในแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรม ของมิเชลล์ ฟูโกต์ ได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า วาทกรรม ในทัศนคติของมิเชลล์ ฟูโกต์ นั้น เป็นเรื่องที่มากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือ การตีความ แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความรุนแรงที่แสดงออกมาในรูปของภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในสังคม หรือที่ฟูโกต์ กล่าวไว้ในปาฐกถานำในงานเขียนเรื่อง “The order of discourse” ว่า “ในทุกทุกสังคมการผลิตวาทกรรมจะถูกควบคุม คัดสรร จัดระบบ และแจกจ่ายภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่พลิกแพลงเพื่อให้เรามองไม่เห็นอำนาจ และอันตราย รวมตลอดถึงความน่าเกลียด น่าสะพรึงกลัวของวาทกรรม เพื่อให้วาทกรรมดังกล่าวดำรงความเหนือกว่า/ความเป็นเจ้าในสังคม สำหรับสังคมปัจจุบันของเรา กฎเกณฑ์ที่รู้จักกันดีคือการกีดกัน การเก็บกด/ปิดกั้น ในรูปแบบที่เราคุ้นชินอย่างมากนั่นคือ การห้าม” (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 25)
การวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) แนวคิดดังกล่าวนี้ของ มิเชลล์ ฟูโกต์ นั้นโดยสาระสำคัญ ๆ แล้วแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับ การพยายามศึกษาและสืบค้นถึงกระบวนการ ขั้นตอน ลำดับเหตุการณ์ และลำดับปลีกย่อยต่าง ๆ ในการสร้างเอกลักษณ์และความหมายต่าง ๆ ให้กับสรรพสิ่งที่ห่อหุ้มเราอยู่ในสังคมในรูปแบบของวาทกรรม และภาคปฏิบัติการของวาทกรรมว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร มีการต่อสู้เพื่อช่วงชิงการนำ (Hegemony) ในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ อย่างไรบ้าง มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์อะไรบ้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้าง รวมตลอดถึงการเก็บกด/ปิดกั้น สิ่งเหล่านี้ของวาทกรรมมีอย่างไร (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 27 – 28)
หัวใจของการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นอยู่ที่การค้นหาว่า ด้วยวิธีการ/ด้วยกระบวนการ ใด ๆ ที่สิ่งต่าง ๆ ในสังคมถูกทำให้กลายเป็นวัตถุเพื่อการศึกษา/เพื่อการพูดถึงของวาทกรรม (an object of discourse/discursive object) หรือก็คือการพิจารณาถึงภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนในสังคม (a complex group of relations) ที่เป็นตัวกำหนดการพูดถึงสิ่งนั้น ๆ ซึ่งชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนดังกล่าวนี้นั้น ไม่ได้ดำรงอยู่ในตัววัตถุธรรมของวาทกรรมหรือโลกแห่งความเป็นจริง แต่อยู่ภายนอกตัววัตถุธรรมของวาทกรรม และกลับกลายเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ของตัววัตถุธรรมของวาทกรรมนั้น ๆ อีกต่อหนึ่งในรูปของวาทกรรม ในส่วนของภาคปฏิบัติการจริงที่ฟูโกต์ สนใจนั้นเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมที่สำคัญ ๆ ในสังคม (Serious Speech Acts) นั่นก็คือวาทกรรมของผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่าง ๆ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั้นสถาปนาผู้พูดให้มีอำนาจ/ความชอบธรรมในการพูดถึงเรื่องนั้น ๆ สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์วาทกรรมแล้วนั้นมองว่า มนุษย์ เป็นเพียง ร่างทรง หรือผู้ที่กระทำตาม/ตอกย้ำ/ผลิตซ้ำ (Enact) กฎเกณฑ์ของสิ่งที่พูด มากกว่าที่จะคิดค้นหรือสรรสร้างระบบ/กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา อีประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการวิเคราะห์วาทกรรมคือ ในการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นมิได้อยู่ที่ว่าคำพูด หรือสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นจริง หรือเป็นเท็จ ในการวิเคราะห์วาทกรรมไม่ได้สนใจในประเด็นเหล่านี้มากเท่าไรนัก หากแต่ความสนใจกลับอยู่ที่กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ที่เป็นตัวกำกับให้การพูด/กระทำนั้นเป็นไปได้ และกฎเหล่านี้นั้นก็ฝังแฝงอยู่ภายในตัวของวาทกรรมเอง (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 29 – 30)
ในกระบวนการ/ขั้นตอนในการวิเคราะห์วาทกรรม จะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ดูเหมือนง่ายและมีความเป็นรูปธรรมสูงว่า อะไรคือสิ่งที่กำลังพูดถึง/ศึกษาถึง หรือวาทกรรมของสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งการตั้งคำถามดังกล่าวนั้นเป็นการตั้งคำถามที่ตั้งขึ้นเพื่อต้องการตรวจสอบหรือสืบค้นว่าเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่ถูกตั้งคำถามถึงนั้นว่าถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เพื่อศึกษาถึงชุดกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวกำหนด/สร้างความหมาย (Forms) ให้กับสิ่งที่ถูกตั้งคำถามดังกล่าวนั้น ซึ่งจะช่วยทำให้เราเห็นถึงโยงใยของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่สิ่งสิ่งนั้นดำรงอยู่ ทั้งยังช่วยให้เห็นถึงความลื่นไหลเปลี่ยนแปลงด้วย
สืบค้นจาก http://worrawat.exteen.com/20071128/2-discourse-and-discourse-analysis
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น