กลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน เป็นกลุ่มคนที่สวมเสื้อสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงต้นปี พ.ศ. 2552 มีลักษณะการเคลื่อนไหวเป็นการต่อต้านกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง
กลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน ปรากฏบทบาทครั้งแรกที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยทำการสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. และมีข้อความที่หน้าอกเสื้อว่า "ปกป้องสถาบัน" ส่วนด้านหลัง "สงบ สันติ สามัคคี" ที่ผ่านการฝึก อบรมในโครงการอาสาสมัครพิทักษ์สถาบัน "รุ่นผู้นำทางความคิด" ได้ ออกมารวมพลังประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จากนั้น เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อร่วมดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และคัดค้านการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีพฤติกรรมส่อไปในทางลบหลู่สถาบันพระมหากษัตริย์ และองคมนตรี โดยจัดกำลังเฝ้าระวังประตูทุกจุดรอบศาลากลาง เพื่อตรวจตราคนเข้าออก บุคคลแปลกหน้า หรือผู้ต้องสงสัย ที่จะเข้าไปก่อเหตุรุนแรง หรือก่อความไม่สงบภายในศาลากลางจังหวัด [1]
จากนั้นกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินได้ปะทะกับกลุ่ม นปช. หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่หนักที่สุดคือ เมื่อเช้าวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552 ในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมื่อนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรองได้นำพากลุ่มแนวร่วม นปช. บุกขึ้นไปเพื่อล้มการประชุมสุดยอดอาเชียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา ทั้งสองกลุ่มนี้ได้ปะทะกันด้วยอาวุธต่าง ๆ มากมาย ทั้ง ระเบิดและปืน
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ออกมากล่าวหาว่า กลุ่มคนเสื้อน้ำเงินนี้เป็นการจัดตั้งขึ้นมาโดย นายเนวิน ชิดชอบ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ทั้งสองได้ปฏิเสธ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
เหลือง – แดง คือทางเลือกของสังคมไทย? โดย นักปรัชญาชายขอบ
1. คุณูปการของ ‘เหลือง – แดง’
หากเราตั้งคำถามว่าการต่อสู้ของพลังมวลชน ‘เสื้อเหลือง’ กับ ‘เสื้อแดง’ ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในสังคมไทย คำตอบอาจเป็นไปได้ในหลายมุมมอง (ในขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายมุมมองเช่นเดียวกัน) และแม้ว่าคำตอบที่เป็น ‘ความเปลี่ยนแปลงขั้นสุดท้าย’ หรือความเปลี่ยนแปลงตามเป้าหมายของแต่ละฝ่าย (‘ล้มระบอบทักษิณ-สร้างการเมืองใหม่’ ตามเป้าหมายของเสื้อเหลือง ‘ล้มอำมาตยาธิปไตย -ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ’ ตามเป้าหมายของเสื้อแดง) จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่พลังมวลชนของทั้งสองฝ่ายได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังนี้.-
1.1 กลุ่มคนเสื้อเหลืองได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างพลังมวลชนที่มีเป้าหมายร่วม กันอย่างแน่วแน่นั้นเป็นไปได้จริง และทำให้การเมืองบนท้องถนนมีพลังกดดันการเมืองภาคนักการเมือง และกลุ่มอำนาจอื่นๆ เช่น ทหาร องคมนตรี ตุลาการ สื่อมวลชนให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตนต้องการได้ในระดับหนึ่ง และกลุ่มคนเสื้อแดงก็กำลังสร้างการเมืองบนท้องถนนในทำนองเดียวกัน เพียงแต่มีเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงที่ต่างกัน
1.2 คุณูปการของกลุ่มคนเสื้อเหลืองคือการเปิดโปงให้สังคมเห็นธาตุแท้และอันตราย ของ ‘ทุนนิยมสามานย์’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ซึ่งหมายถึงพฤติการณ์ของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่ใช้เงินซื้อพรรคการเมือง และนักการเมืองและซื้อเสียงเพื่อเข้ามายึดอำนาจรัฐ เป็นเผด็จการรัฐสภา และใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องภายใต้นโยบาย โครงการ วิธีบริหารจัดการ และการแทรกแซงวุฒิสภา องค์กรอิสระ สื่อมวลชน ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงที่มีจุดยืนอยู่บน ‘ความทับซ้อนกัน’ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของชาติ
1.3 คุณูปการของกลุ่มคนเสื้อแดงคือ การเปิดโปงให้เห็นธาตุแท้และอันตรายของ ‘อำมาตยาธิปไตย’ ซึ่งหมายถึงเครือข่ายข้าราชการที่เกาะเยี่ยวยึดโยงกันภายใต้วัฒนธรรมอำนาจ นิยมอุปถัมภ์นิยม และเครือข่ายเหล่านี้เข้ามาแทรกแซงอำนาจรัฐเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและรักษาผล ประโยชน์ของตนเอง ทั้งการแทรกแซงโดยตรง เช่น การทำรัฐประหาร หรือแทรกแซงโดยอ้อม เช่น การอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล การแต่งตั้งโยกย้ายผู้นำเหล่าทัพหรือข้าราชการระดับสูง เป็นต้น
ธาตุแท้และอันตรายของ ‘ทุนนิยมสามานย์’ และ ‘อำมาตยาธิปไตย’ มีงานทางวิชาการนำเสนอมาพอสมควรแล้ว แต่ยังเป็นที่รับรู้เฉพาะในแวดวงผู้สนใจปัญหาบ้านเมืองในเชิงลึกเท่านั้น การออกมาตะโกนดังๆของกลุ่มคนเสื้อเหลือง – เสื้อแดง ทำให้สังคมมองเห็นภาพและรายละเอียดของ ‘สองอันตราย’ นี้ได้ชัดเจนขึ้น
2. ปมปัญหาของ ‘เหลือง-แดง’
2.1 ปมปัญหาของ ‘เสื้อเหลือง’ คือ แม้จะเปิดโปง ‘ทุนนิยมสามานย์’ แต่ก็เกาะเกี่ยวสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับ ‘อำมาตยาธิปไตย’ หรือมีภาพลักษณ์เป็นแนวร่วมกับอำมาตยาธิปไตย การเมืองใหม่ที่เสื้อเหลืองเสนอก็ค่อนไปทางการส่งเสริมความเข้มแข็งของอำมา ตยาธิปไตย และสิทธิประโยชน์ของคนชั้นกลาง ประชาธิปไตยในมือของอำมาตย์และคนชั้นกลาง หรือประชาธิปไตยภายใต้อิทธิพลของ ‘กลุ่มทุนเก่า’ ที่คอรัปชันอย่างไร้การตรวจสอบ และไม่เก่งในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจที่จำต้องเคลื่อนไปตามระบบตลาดเสรีโลกา ภิวัตน์ จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ และไม่ใช่ประชาธิปไตยที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าและความเป็นธรรมทาง เศรษฐกิจได้จริง
2.2 ปมปัญหาของ ‘เสื้อแดง’ คือ แม้จะเปิดโปงให้สังคมเห็นธาตุแท้และอันตรายของ ‘อำมาตยาธิปไตย’ แต่ก็เกาะเกี่ยวสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับ ‘ระบอบทักษิณ’ หรือมีภาพลักษณ์เป็นแนวร่วมกับทักษิณ การเรียกร้องให้ล้มอำมาตยาธิปไตย เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยเต็มใบพร้อมกับให้ ‘นิรโทษกรรม’ ทักษิณ หรือให้ทักษิณคืนสู่อำนาจนั้น ไม่น่าจะทำให้ได้ประชาธิปไตยที่จะสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้จริง แต่จะเป็นประชาธิปไตยภายใต้อุ้งมือของ ‘กลุ่มทุนใหม่’ ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่ยึดกุมอำนาจรัฐ
3. ทางเลือกของ ‘เหลือง-แดง’ ไม่อาจเป็นทางเลือกของสังคมไทย
ไม่ว่าจะเป็น ‘การเมืองใหม่+อำมาตยาธิปไตย’ หรือ ‘ประชาธิปไตย+ทุนิยมสามานย์’ ก็ตาม ล้วนแต่ไม่ควรจะเป็นทางเลือกของสังคมไทย พูดอย่างถึงที่สุดแม้แต่จะเป็นทางเลือกเฉพาะของกลุ่มคนเสื้อเหลือง-แดงเท่า นั้น ก็ไม่ควรจะเป็น เพราะมันเป็นทางเลือกที่เป็นความขัดแย้งไม่สิ้นสุด และจะฉุดสังคมลงสู่ ‘นรกของความขัดแย้ง’ ที่เผาไหม้ความสงบสุขและผลาญเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้ย่อยยับเร็วขึ้น
4. ทางเลือกของสังคมไทย
ทางเลือกของสังคมไทย คือ ‘ประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยมสามานย์’ หรือประชาธิปไตยที่สลายชนชั้นทางสังคมและชนชั้นทางเศรษฐกิจ หรือประชาธิปไตยที่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง เป็น ‘ประชาธิปไตยที่กินได้’ โดยสามารถลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมาได้จริง
5. แนวทางสร้างทางเลือกของสังคมไทย
5.1 ที่จริงกลุ่มคนสีเหลืองกับกลุ่มคนสีแดงต่างก็เรียกร้อง ‘ประชาธิปไตย’ แต่ประชาธิปไตยของคนสีเหลืองอิงแอบอยู่กับอำมาตยาธิปไตย และประชาธิปไตยของคนสีแดงอิงแอบอยู่กับทุนนิยมสามานย์ ถ้าคนสีเหลืองกับคนสีแดงตัดสิ่งที่พวกตนอิงแอบออกไป แล้วต่างชู ‘ธงประชาธิปไตย’ จริงๆ (เอา ‘ธงสถาบัน’ กับ ‘ธงทักษิณ’ ลง) เชื่อว่าคนทั้งสองฝ่ายจะหันหน้ามาคุยกันได้ หาแนวทางหรือข้อยุติที่ยอมรับร่วมกันได้ และการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอาจทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
5.2 นักวิชาการ สื่อมวลชน คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เสื้อเหลือง-แดง ชู ‘ธงสถาบัน’ กับ ‘ธงทักษิณ’ สร้างความขัดแย้งในบ้านเมือง ควรออกมาส่งเสียงปฏิเสธแนวทางการต่อสู้เอาชนะคะคานของทั้งสองฝ่าย และร่วมกันเรียกร้องประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยมสามานย์ ผ่าน ‘เวทีปฏิรูปการเมือง’ รอบใหม่
5.3 ต้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การพิสูจน์ตนเองตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ ฝ่ายเสื้อเหลือง-แดง ที่ละเมิดกฎหมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำผิด แม้กระทั่งคณะผู้ก่อรัฐประหารก็ควรถูกสังคมประณาม ควรสร้างกฎหมายและความเข้มแข็งของการเมืองภาคประชาชนที่มีพลังป้องกันไม่ให้ เกิดรัฐประหารเกิดขึ้นได้อีก
5.4 สังคมต้องร่วมกันสร้าง ‘ระบบที่ดี’ ที่เป็นประชาธิปไตยสากลผ่านการปฏิรูปการเมือง และสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยึดความถูกต้องตามระบบมากกว่ายึดตัวบุคคล หรือหวังพึ่งตัวบุคคลประเภท ‘อัศวินม้าขาว’ ที่จะมา ‘เนรมิต’ ความเจริญให้ (ดังที่ ‘ทักษิณ’ พยายามโอ้อวดตัวเองว่าเป็น ‘คนเก่ง’ และ ‘เปรม’ พยายามโอ้อวดหรือการันตีคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ‘คนดี’) เพราะระบบที่ดีจะทำให้สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ดีอย่างยั่งยืน
6. บทสรุป
ทางเลือกของคนเสื้อเหลือง-แดง ที่ฝ่ายหนึ่งอิงแอบอำมาตยาธิปไตยและอีกฝ่ายอิงแอบทุนนิยมสามานย์ หรือฝ่ายหนึ่งชู ‘ธงสถาบัน’ ฝ่ายหนึ่งชู ‘ธงทักษิณ’ นั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ นอกจากนั้นยังเป็นทางเลือกที่สร้างความขัดแย้งแตกแยกไม่สิ้นสุด สังคมไทยควรสร้างทางเลือกที่พ้นไปจากอิทธิพลของอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยม สามานย์ ผ่านการปฏิรูปการเมืองรอบใหม่เพื่อให้ได้ ‘ระบบที่ดี’ ที่เป็นประชาธิปไตยสากล และสร้างวัฒนธรรมการใช้ระบบที่ดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆอย่างแท้จริง
จากเว็ปไซต์ http://www.esaanvoice.net/esanvoice/board/view.php?id=5
หากเราตั้งคำถามว่าการต่อสู้ของพลังมวลชน ‘เสื้อเหลือง’ กับ ‘เสื้อแดง’ ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในสังคมไทย คำตอบอาจเป็นไปได้ในหลายมุมมอง (ในขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายมุมมองเช่นเดียวกัน) และแม้ว่าคำตอบที่เป็น ‘ความเปลี่ยนแปลงขั้นสุดท้าย’ หรือความเปลี่ยนแปลงตามเป้าหมายของแต่ละฝ่าย (‘ล้มระบอบทักษิณ-สร้างการเมืองใหม่’ ตามเป้าหมายของเสื้อเหลือง ‘ล้มอำมาตยาธิปไตย -ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ’ ตามเป้าหมายของเสื้อแดง) จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่พลังมวลชนของทั้งสองฝ่ายได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังนี้.-
1.1 กลุ่มคนเสื้อเหลืองได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างพลังมวลชนที่มีเป้าหมายร่วม กันอย่างแน่วแน่นั้นเป็นไปได้จริง และทำให้การเมืองบนท้องถนนมีพลังกดดันการเมืองภาคนักการเมือง และกลุ่มอำนาจอื่นๆ เช่น ทหาร องคมนตรี ตุลาการ สื่อมวลชนให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตนต้องการได้ในระดับหนึ่ง และกลุ่มคนเสื้อแดงก็กำลังสร้างการเมืองบนท้องถนนในทำนองเดียวกัน เพียงแต่มีเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงที่ต่างกัน
1.2 คุณูปการของกลุ่มคนเสื้อเหลืองคือการเปิดโปงให้สังคมเห็นธาตุแท้และอันตราย ของ ‘ทุนนิยมสามานย์’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ซึ่งหมายถึงพฤติการณ์ของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่ใช้เงินซื้อพรรคการเมือง และนักการเมืองและซื้อเสียงเพื่อเข้ามายึดอำนาจรัฐ เป็นเผด็จการรัฐสภา และใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องภายใต้นโยบาย โครงการ วิธีบริหารจัดการ และการแทรกแซงวุฒิสภา องค์กรอิสระ สื่อมวลชน ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงที่มีจุดยืนอยู่บน ‘ความทับซ้อนกัน’ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของชาติ
1.3 คุณูปการของกลุ่มคนเสื้อแดงคือ การเปิดโปงให้เห็นธาตุแท้และอันตรายของ ‘อำมาตยาธิปไตย’ ซึ่งหมายถึงเครือข่ายข้าราชการที่เกาะเยี่ยวยึดโยงกันภายใต้วัฒนธรรมอำนาจ นิยมอุปถัมภ์นิยม และเครือข่ายเหล่านี้เข้ามาแทรกแซงอำนาจรัฐเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและรักษาผล ประโยชน์ของตนเอง ทั้งการแทรกแซงโดยตรง เช่น การทำรัฐประหาร หรือแทรกแซงโดยอ้อม เช่น การอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล การแต่งตั้งโยกย้ายผู้นำเหล่าทัพหรือข้าราชการระดับสูง เป็นต้น
ธาตุแท้และอันตรายของ ‘ทุนนิยมสามานย์’ และ ‘อำมาตยาธิปไตย’ มีงานทางวิชาการนำเสนอมาพอสมควรแล้ว แต่ยังเป็นที่รับรู้เฉพาะในแวดวงผู้สนใจปัญหาบ้านเมืองในเชิงลึกเท่านั้น การออกมาตะโกนดังๆของกลุ่มคนเสื้อเหลือง – เสื้อแดง ทำให้สังคมมองเห็นภาพและรายละเอียดของ ‘สองอันตราย’ นี้ได้ชัดเจนขึ้น
2. ปมปัญหาของ ‘เหลือง-แดง’
2.1 ปมปัญหาของ ‘เสื้อเหลือง’ คือ แม้จะเปิดโปง ‘ทุนนิยมสามานย์’ แต่ก็เกาะเกี่ยวสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับ ‘อำมาตยาธิปไตย’ หรือมีภาพลักษณ์เป็นแนวร่วมกับอำมาตยาธิปไตย การเมืองใหม่ที่เสื้อเหลืองเสนอก็ค่อนไปทางการส่งเสริมความเข้มแข็งของอำมา ตยาธิปไตย และสิทธิประโยชน์ของคนชั้นกลาง ประชาธิปไตยในมือของอำมาตย์และคนชั้นกลาง หรือประชาธิปไตยภายใต้อิทธิพลของ ‘กลุ่มทุนเก่า’ ที่คอรัปชันอย่างไร้การตรวจสอบ และไม่เก่งในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจที่จำต้องเคลื่อนไปตามระบบตลาดเสรีโลกา ภิวัตน์ จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ และไม่ใช่ประชาธิปไตยที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าและความเป็นธรรมทาง เศรษฐกิจได้จริง
2.2 ปมปัญหาของ ‘เสื้อแดง’ คือ แม้จะเปิดโปงให้สังคมเห็นธาตุแท้และอันตรายของ ‘อำมาตยาธิปไตย’ แต่ก็เกาะเกี่ยวสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับ ‘ระบอบทักษิณ’ หรือมีภาพลักษณ์เป็นแนวร่วมกับทักษิณ การเรียกร้องให้ล้มอำมาตยาธิปไตย เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยเต็มใบพร้อมกับให้ ‘นิรโทษกรรม’ ทักษิณ หรือให้ทักษิณคืนสู่อำนาจนั้น ไม่น่าจะทำให้ได้ประชาธิปไตยที่จะสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้จริง แต่จะเป็นประชาธิปไตยภายใต้อุ้งมือของ ‘กลุ่มทุนใหม่’ ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองที่ยึดกุมอำนาจรัฐ
3. ทางเลือกของ ‘เหลือง-แดง’ ไม่อาจเป็นทางเลือกของสังคมไทย
ไม่ว่าจะเป็น ‘การเมืองใหม่+อำมาตยาธิปไตย’ หรือ ‘ประชาธิปไตย+ทุนิยมสามานย์’ ก็ตาม ล้วนแต่ไม่ควรจะเป็นทางเลือกของสังคมไทย พูดอย่างถึงที่สุดแม้แต่จะเป็นทางเลือกเฉพาะของกลุ่มคนเสื้อเหลือง-แดงเท่า นั้น ก็ไม่ควรจะเป็น เพราะมันเป็นทางเลือกที่เป็นความขัดแย้งไม่สิ้นสุด และจะฉุดสังคมลงสู่ ‘นรกของความขัดแย้ง’ ที่เผาไหม้ความสงบสุขและผลาญเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้ย่อยยับเร็วขึ้น
4. ทางเลือกของสังคมไทย
ทางเลือกของสังคมไทย คือ ‘ประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยมสามานย์’ หรือประชาธิปไตยที่สลายชนชั้นทางสังคมและชนชั้นทางเศรษฐกิจ หรือประชาธิปไตยที่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง เป็น ‘ประชาธิปไตยที่กินได้’ โดยสามารถลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมาได้จริง
5. แนวทางสร้างทางเลือกของสังคมไทย
5.1 ที่จริงกลุ่มคนสีเหลืองกับกลุ่มคนสีแดงต่างก็เรียกร้อง ‘ประชาธิปไตย’ แต่ประชาธิปไตยของคนสีเหลืองอิงแอบอยู่กับอำมาตยาธิปไตย และประชาธิปไตยของคนสีแดงอิงแอบอยู่กับทุนนิยมสามานย์ ถ้าคนสีเหลืองกับคนสีแดงตัดสิ่งที่พวกตนอิงแอบออกไป แล้วต่างชู ‘ธงประชาธิปไตย’ จริงๆ (เอา ‘ธงสถาบัน’ กับ ‘ธงทักษิณ’ ลง) เชื่อว่าคนทั้งสองฝ่ายจะหันหน้ามาคุยกันได้ หาแนวทางหรือข้อยุติที่ยอมรับร่วมกันได้ และการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอาจทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
5.2 นักวิชาการ สื่อมวลชน คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เสื้อเหลือง-แดง ชู ‘ธงสถาบัน’ กับ ‘ธงทักษิณ’ สร้างความขัดแย้งในบ้านเมือง ควรออกมาส่งเสียงปฏิเสธแนวทางการต่อสู้เอาชนะคะคานของทั้งสองฝ่าย และร่วมกันเรียกร้องประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยมสามานย์ ผ่าน ‘เวทีปฏิรูปการเมือง’ รอบใหม่
5.3 ต้องให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การพิสูจน์ตนเองตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ ฝ่ายเสื้อเหลือง-แดง ที่ละเมิดกฎหมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำผิด แม้กระทั่งคณะผู้ก่อรัฐประหารก็ควรถูกสังคมประณาม ควรสร้างกฎหมายและความเข้มแข็งของการเมืองภาคประชาชนที่มีพลังป้องกันไม่ให้ เกิดรัฐประหารเกิดขึ้นได้อีก
5.4 สังคมต้องร่วมกันสร้าง ‘ระบบที่ดี’ ที่เป็นประชาธิปไตยสากลผ่านการปฏิรูปการเมือง และสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยึดความถูกต้องตามระบบมากกว่ายึดตัวบุคคล หรือหวังพึ่งตัวบุคคลประเภท ‘อัศวินม้าขาว’ ที่จะมา ‘เนรมิต’ ความเจริญให้ (ดังที่ ‘ทักษิณ’ พยายามโอ้อวดตัวเองว่าเป็น ‘คนเก่ง’ และ ‘เปรม’ พยายามโอ้อวดหรือการันตีคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ‘คนดี’) เพราะระบบที่ดีจะทำให้สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ดีอย่างยั่งยืน
6. บทสรุป
ทางเลือกของคนเสื้อเหลือง-แดง ที่ฝ่ายหนึ่งอิงแอบอำมาตยาธิปไตยและอีกฝ่ายอิงแอบทุนนิยมสามานย์ หรือฝ่ายหนึ่งชู ‘ธงสถาบัน’ ฝ่ายหนึ่งชู ‘ธงทักษิณ’ นั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ นอกจากนั้นยังเป็นทางเลือกที่สร้างความขัดแย้งแตกแยกไม่สิ้นสุด สังคมไทยควรสร้างทางเลือกที่พ้นไปจากอิทธิพลของอำมาตยาธิปไตยและทุนนิยม สามานย์ ผ่านการปฏิรูปการเมืองรอบใหม่เพื่อให้ได้ ‘ระบบที่ดี’ ที่เป็นประชาธิปไตยสากล และสร้างวัฒนธรรมการใช้ระบบที่ดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆอย่างแท้จริง
จากเว็ปไซต์ http://www.esaanvoice.net/esanvoice/board/view.php?id=5
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
วาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม
1.2 ความนำ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นในบทนำนั้นว่า การดำรงอยู่ซึ่งบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งชายและหญิงนั้นมีการดำรงอยู่ที่เป็นความแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนั้นหาใช่ความแตกต่างอันเกิดจากลักษณะทางธรรมชาติหรือความแตกต่างในเรื่องของสรีระร่างกายซึ่งเป็นความแตกต่างที่ธรรมชาติสร้างให้เราแตกต่างกันมาตั้งแต่กำเนิดไม่สามารถที่จะฝืนหรือเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญเหล่านั้นได้เพียงเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นกลับเป็นความแตกต่างในแง่ของสิ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาจากการนำเอาความแตกต่างทางด้านสรีระมาเป็นตัวกำหนด หรือเป็นพื้นฐานในการตีความและการสร้างองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่นำมาสู่การปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เท่าเทียมกันในแต่ละเพศตามความคิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ซึ่งเป็นนักวิจัย ภาควิชาเวชศาสตร์สังคมและสิ่งแวดล้อม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างดังกล่าวนี้นั้นว่า ความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) เช่นเดียวกับสังคมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในโลก นั่นคือ “ชายเป็นผู้นำ หญิงคือผู้ตาม ชายคือผู้กำหนด หญิงเป็นผู้รับไปปฏิบัติ” ซึ่งการที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่สถานภาพของเพศชายที่เหนือกว่าเพศหญิงนั้นเป็นผลมาจาก แนวความคิดสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดำรงอยู่ในสังคมมาอย่างยาวนานในทุกสังคมของโลก (รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง, 2540: 62) จะเห็นได้ว่าการกำหนดบทบาทและสถานภาพทางเพศที่แตกต่างกันดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากการที่ชุดของความรู้ชุดหนึ่ง ๆ เข้าไปมีอิทธิพลเหนือจิตสำนึกของกลุ่มคนทำให้ผู้คนในสังคมเหล่านั้น มีค่านิยม มีแนวความคิดความเชื่อที่ยึดโยงสัมพันธ์กับแนวทางปฏิบัติตนของตนเองแม้ในวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตนเองก็ตามแต่ และในแง่คิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นได้มองว่าชุดของความรู้ที่เป็นสิ่งยึดโยงการกระทำการต่าง ๆ เหล่านั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ระบบสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ทีทำให้วาทกรรมของความเป็นเพศมีบทบาทและสถานภาพที่แตกต่างกัน
ในที่นี้ผู้ศึกษาได้กล่าวมาแล้วในแนวทางของการการศึกษาว่าผู้ศึกษานั้นจะได้วิเคราะห์ความเหมือนหรือความแตกต่างกันของทั้งบทบาทและทั้งของสถานภาพทางเพศทั้งชายและหญิงโดยวิเคราะห์จากวรรณกรรมในฐานะที่วรรณกรรมเหล่านั้นเป็นวาทกรรมที่มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งต่อการสร้างความจริง ความรู้ ชุดของระบบความคิดต่าง ๆ ขึ้นมาในสังคม ในการศึกษานี้ผู้ศึกษาจึงจะได้ใช้แนวคิด วาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) เพื่อใช้เป็นกรอบในการมอง แยกแยะความสัมพันธ์ เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่ง/แนวคิดต่าง ๆ ที่ฝังแฝงอยู่ภายในแนวคิด/ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย นั่นเอง
1.2 กรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาในหัวข้อศึกษานี้ผู้ศึกษาจะใช้แนวคิดในการที่จะนำมาใช้เป็นกรอบในการมองปรากฏการณ์ผ่านวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานนี้นั้นเพียงแนวคิดเดียว ซึ่งผู้เขียนมีความคิดว่าการมองวรรณกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวในฐานะของการเป็นวาทกรรมตามแนวความคิดของ มิเชลล์ ฟูโกต์ เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะวิเคราะห์โดยมองว่าวรรณกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นในฐานะของการเป็นวาทกรรมที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมอย่างไรบ้าง
ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้น ผู้ศึกษาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการที่จะแสวงหาหรือทดสอบเพื่อที่จะพัฒนาการสร้างทฤษฎีขึ้นมาใช้ใหม่ที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์หรือสามารถสร้างข้อสรุปในลักษณะทั่ว ๆ ไปได้ แต่ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้นผู้ศึกษาเพียงมุ่งที่จะสร้างกรอบเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในเรื่องของการมีบทบาทในการกำหนดและส่งอิทธิพลต่อการดำเนินไปซึ่งบทบาทและสถานภาพของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมเท่านั้น ซึ่งในที่นี้นั้นผู้ศึกษาจึงได้เลือกใช้แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault) เพื่อมาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมา
1.2.1 แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault)
วาทกรรม (Discourse) ในการศึกษาชิ้นนี้ผู้ศึกษามิได้นำวาทกรรมมาใช้ในฐานะของการเป็นเพียง ภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกันเท่านั้น แต่จะยึดโยงกับความหมายเดียวกันกับที่ มิเชลล์ ฟูโกต์ ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักเขียน และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้กล่าวถึงวาทกรรมไว้ว่า วาทกรรม หมายถึงระบบ และกระบวนการในการสร้าง/ผลิต (Constitute) เอกลักษณ์/อัตลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Significance) ให้กับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจริง อำนาจ หรือตัวตนของเราเอง นอกจากนั้นแล้ว วาทกรรมยังคงทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นให้ดำรงอยู่และเป็นที่ยอมรับของสังคมในวงกว้าง (Valorize) จนกลายเป็นวาทกรรมหลัก (Dominant Discourse) ขึ้นมาในสังคม และยังมองว่า วาทกรรม คือระบบที่ทำให้การพูด/การเขียนถึง (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องต่าง ๆ ในสังคมหนึ่ง ๆ เป็นไปได้ เพราะวาทกรรมจะเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข และกลไกต่าง ๆ ในการพูด การเขียน (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องราว/ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 19 – 20) จากที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น จะทำให้ราเห็นว่า วาทกรรมนั้นเป็นมากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกัน แต่วาทกรรมนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในรูปแบบต่าง ๆ อยู่ ซึ่งรวมถึงจารีตปฏิบัติ ความคิด ความเชื่อ คุณค่า และสถาบันต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ด้วย ในงานเขียนของอาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้ยกคำกล่าวของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหนังสือชื่อว่า “Politics and the study of discourse” มาไว้ในงานเขียนว่า (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 21) “มิเชลล์ ฟูโกต์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า : วาทกรรมถูกสร้างขึ้นจากความแตกต่างระหว่างสิ่งที่สามารถพูดได้อย่างถูกต้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ภายใต้กฎเกณฑ์และตรรกะชุดหนึ่ง) กับสิ่งที่ถูกพูดอย่างแท้จริง สนามของวาทกรรมในขณะใดขณะหนึ่งก็คือกฎเกณฑ์ว่าด้วยความแตกต่างนี้ ฉะนั้น วาทกรรมจึงสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง กฎเกณฑ์นี้จะเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือ การเลือนหายของสรรพสิ่ง นั่นคือควบคู่ไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมสร้างขึ้น ยังมีการสร้างและการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกพูดถึงโดยวาทกรรมอีกด้วย” เอกลักษณ์และความหมายในความคิดของฟูโกต์ นั้นเป็นเรื่องของการใช้อำนาจและความรุนแรงเข้าไปบังคับยัดเยียดให้เป็นของวาทกรรมชุดหนึ่ง และขณะเดียวกันวาทกรรมดังกล่าวนั้นก็จะเก็บกด บดบัง ปิดกั้น ขจัด หรือทำลายมิให้สิ่งที่แตกไปจากเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่วาทกรรมนั้นสร้างขึ้นมาปรากฏตัวขึ้น มากกว่าเป็นเรื่องของการผูกติดกันอย่างเหนียวแน่นของคุณสมบัติเฉพาะ (Attributes) บางอย่างในตัวของสิ่งเหล่านั้นเอง ที่ทำให้เป็นอยู่อย่างที่เข้าใจกัน เช่น อวัยวะเพศกับความเป็นชาย หรือกับความเป็นหญิง บัตรประจำตัวประชาชน (Identification Card) และหนังสือเดินทาง (Passport) กับความเป็น พลเมือง เหล่านี้เป็นต้น จะเห็นได้ถึงความสอดคล้องสัมพันธ์กันส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องที่เกี่ยวกับวาทกรรมที่อาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ที่ได้ตีความมาจากงานเขียนของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหลาย ๆ ชิ้น ซึ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับแนวคิดเรื่องตัวกำหนดบทบาททางเพศและสถานภาพทางเพศของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่ว่าความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) หาใช่ความแตกต่างที่เป็นความแตกต่างทางเพศที่เป็นเรื่องธรรมชาติ/ธรรมดาแต่อย่างใด
กล่าวโดยรวมแล้วความคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรมของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ที่ผู้ศึกษานั้นได้ใช้การศึกษาผ่านการตีความจากงานเขียนของท่านอาจารย์ ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ในงานเขียนเรื่อง “วาทกรรมการพัฒนา : อำนาจ ความรู้ ความจริง และความเป็นอื่น” ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วนั้น กล่าวโดยรวมในแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรม ของมิเชลล์ ฟูโกต์ ได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า วาทกรรม ในทัศนคติของมิเชลล์ ฟูโกต์ นั้น เป็นเรื่องที่มากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือ การตีความ แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความรุนแรงที่แสดงออกมาในรูปของภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในสังคม หรือที่ฟูโกต์ กล่าวไว้ในปาฐกถานำในงานเขียนเรื่อง “The order of discourse” ว่า “ในทุกทุกสังคมการผลิตวาทกรรมจะถูกควบคุม คัดสรร จัดระบบ และแจกจ่ายภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่พลิกแพลงเพื่อให้เรามองไม่เห็นอำนาจ และอันตราย รวมตลอดถึงความน่าเกลียด น่าสะพรึงกลัวของวาทกรรม เพื่อให้วาทกรรมดังกล่าวดำรงความเหนือกว่า/ความเป็นเจ้าในสังคม สำหรับสังคมปัจจุบันของเรา กฎเกณฑ์ที่รู้จักกันดีคือการกีดกัน การเก็บกด/ปิดกั้น ในรูปแบบที่เราคุ้นชินอย่างมากนั่นคือ การห้าม” (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 25)
การวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) แนวคิดดังกล่าวนี้ของ มิเชลล์ ฟูโกต์ นั้นโดยสาระสำคัญ ๆ แล้วแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับ การพยายามศึกษาและสืบค้นถึงกระบวนการ ขั้นตอน ลำดับเหตุการณ์ และลำดับปลีกย่อยต่าง ๆ ในการสร้างเอกลักษณ์และความหมายต่าง ๆ ให้กับสรรพสิ่งที่ห่อหุ้มเราอยู่ในสังคมในรูปแบบของวาทกรรม และภาคปฏิบัติการของวาทกรรมว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร มีการต่อสู้เพื่อช่วงชิงการนำ (Hegemony) ในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ อย่างไรบ้าง มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์อะไรบ้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้าง รวมตลอดถึงการเก็บกด/ปิดกั้น สิ่งเหล่านี้ของวาทกรรมมีอย่างไร (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 27 – 28)
หัวใจของการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นอยู่ที่การค้นหาว่า ด้วยวิธีการ/ด้วยกระบวนการ ใด ๆ ที่สิ่งต่าง ๆ ในสังคมถูกทำให้กลายเป็นวัตถุเพื่อการศึกษา/เพื่อการพูดถึงของวาทกรรม (an object of discourse/discursive object) หรือก็คือการพิจารณาถึงภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนในสังคม (a complex group of relations) ที่เป็นตัวกำหนดการพูดถึงสิ่งนั้น ๆ ซึ่งชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนดังกล่าวนี้นั้น ไม่ได้ดำรงอยู่ในตัววัตถุธรรมของวาทกรรมหรือโลกแห่งความเป็นจริง แต่อยู่ภายนอกตัววัตถุธรรมของวาทกรรม และกลับกลายเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ของตัววัตถุธรรมของวาทกรรมนั้น ๆ อีกต่อหนึ่งในรูปของวาทกรรม ในส่วนของภาคปฏิบัติการจริงที่ฟูโกต์ สนใจนั้นเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมที่สำคัญ ๆ ในสังคม (Serious Speech Acts) นั่นก็คือวาทกรรมของผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่าง ๆ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั้นสถาปนาผู้พูดให้มีอำนาจ/ความชอบธรรมในการพูดถึงเรื่องนั้น ๆ สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์วาทกรรมแล้วนั้นมองว่า มนุษย์ เป็นเพียง ร่างทรง หรือผู้ที่กระทำตาม/ตอกย้ำ/ผลิตซ้ำ (Enact) กฎเกณฑ์ของสิ่งที่พูด มากกว่าที่จะคิดค้นหรือสรรสร้างระบบ/กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา อีประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการวิเคราะห์วาทกรรมคือ ในการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นมิได้อยู่ที่ว่าคำพูด หรือสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นจริง หรือเป็นเท็จ ในการวิเคราะห์วาทกรรมไม่ได้สนใจในประเด็นเหล่านี้มากเท่าไรนัก หากแต่ความสนใจกลับอยู่ที่กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ที่เป็นตัวกำกับให้การพูด/กระทำนั้นเป็นไปได้ และกฎเหล่านี้นั้นก็ฝังแฝงอยู่ภายในตัวของวาทกรรมเอง (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 29 – 30)
ในกระบวนการ/ขั้นตอนในการวิเคราะห์วาทกรรม จะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ดูเหมือนง่ายและมีความเป็นรูปธรรมสูงว่า อะไรคือสิ่งที่กำลังพูดถึง/ศึกษาถึง หรือวาทกรรมของสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งการตั้งคำถามดังกล่าวนั้นเป็นการตั้งคำถามที่ตั้งขึ้นเพื่อต้องการตรวจสอบหรือสืบค้นว่าเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่ถูกตั้งคำถามถึงนั้นว่าถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เพื่อศึกษาถึงชุดกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวกำหนด/สร้างความหมาย (Forms) ให้กับสิ่งที่ถูกตั้งคำถามดังกล่าวนั้น ซึ่งจะช่วยทำให้เราเห็นถึงโยงใยของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่สิ่งสิ่งนั้นดำรงอยู่ ทั้งยังช่วยให้เห็นถึงความลื่นไหลเปลี่ยนแปลงด้วย
สืบค้นจาก http://worrawat.exteen.com/20071128/2-discourse-and-discourse-analysis
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นในบทนำนั้นว่า การดำรงอยู่ซึ่งบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งชายและหญิงนั้นมีการดำรงอยู่ที่เป็นความแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนั้นหาใช่ความแตกต่างอันเกิดจากลักษณะทางธรรมชาติหรือความแตกต่างในเรื่องของสรีระร่างกายซึ่งเป็นความแตกต่างที่ธรรมชาติสร้างให้เราแตกต่างกันมาตั้งแต่กำเนิดไม่สามารถที่จะฝืนหรือเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญเหล่านั้นได้เพียงเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นกลับเป็นความแตกต่างในแง่ของสิ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาจากการนำเอาความแตกต่างทางด้านสรีระมาเป็นตัวกำหนด หรือเป็นพื้นฐานในการตีความและการสร้างองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่นำมาสู่การปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เท่าเทียมกันในแต่ละเพศตามความคิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ซึ่งเป็นนักวิจัย ภาควิชาเวชศาสตร์สังคมและสิ่งแวดล้อม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างดังกล่าวนี้นั้นว่า ความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) เช่นเดียวกับสังคมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในโลก นั่นคือ “ชายเป็นผู้นำ หญิงคือผู้ตาม ชายคือผู้กำหนด หญิงเป็นผู้รับไปปฏิบัติ” ซึ่งการที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่สถานภาพของเพศชายที่เหนือกว่าเพศหญิงนั้นเป็นผลมาจาก แนวความคิดสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดำรงอยู่ในสังคมมาอย่างยาวนานในทุกสังคมของโลก (รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง, 2540: 62) จะเห็นได้ว่าการกำหนดบทบาทและสถานภาพทางเพศที่แตกต่างกันดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากการที่ชุดของความรู้ชุดหนึ่ง ๆ เข้าไปมีอิทธิพลเหนือจิตสำนึกของกลุ่มคนทำให้ผู้คนในสังคมเหล่านั้น มีค่านิยม มีแนวความคิดความเชื่อที่ยึดโยงสัมพันธ์กับแนวทางปฏิบัติตนของตนเองแม้ในวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตนเองก็ตามแต่ และในแง่คิดของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นได้มองว่าชุดของความรู้ที่เป็นสิ่งยึดโยงการกระทำการต่าง ๆ เหล่านั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ระบบสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) ทีทำให้วาทกรรมของความเป็นเพศมีบทบาทและสถานภาพที่แตกต่างกัน
ในที่นี้ผู้ศึกษาได้กล่าวมาแล้วในแนวทางของการการศึกษาว่าผู้ศึกษานั้นจะได้วิเคราะห์ความเหมือนหรือความแตกต่างกันของทั้งบทบาทและทั้งของสถานภาพทางเพศทั้งชายและหญิงโดยวิเคราะห์จากวรรณกรรมในฐานะที่วรรณกรรมเหล่านั้นเป็นวาทกรรมที่มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งต่อการสร้างความจริง ความรู้ ชุดของระบบความคิดต่าง ๆ ขึ้นมาในสังคม ในการศึกษานี้ผู้ศึกษาจึงจะได้ใช้แนวคิด วาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) เพื่อใช้เป็นกรอบในการมอง แยกแยะความสัมพันธ์ เชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่ง/แนวคิดต่าง ๆ ที่ฝังแฝงอยู่ภายในแนวคิด/ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย นั่นเอง
1.2 กรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาในหัวข้อศึกษานี้ผู้ศึกษาจะใช้แนวคิดในการที่จะนำมาใช้เป็นกรอบในการมองปรากฏการณ์ผ่านวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานนี้นั้นเพียงแนวคิดเดียว ซึ่งผู้เขียนมีความคิดว่าการมองวรรณกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวในฐานะของการเป็นวาทกรรมตามแนวความคิดของ มิเชลล์ ฟูโกต์ เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะวิเคราะห์โดยมองว่าวรรณกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นในฐานะของการเป็นวาทกรรมที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบทบาทและสถานภาพทางเพศของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมอย่างไรบ้าง
ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้น ผู้ศึกษาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการที่จะแสวงหาหรือทดสอบเพื่อที่จะพัฒนาการสร้างทฤษฎีขึ้นมาใช้ใหม่ที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์หรือสามารถสร้างข้อสรุปในลักษณะทั่ว ๆ ไปได้ แต่ในการสำรวจทฤษฎีเหล่านี้นั้นผู้ศึกษาเพียงมุ่งที่จะสร้างกรอบเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของวรรณกรรมในท้องถิ่นอีสานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในเรื่องของการมีบทบาทในการกำหนดและส่งอิทธิพลต่อการดำเนินไปซึ่งบทบาทและสถานภาพของทั้งเพศชายและเพศหญิงในสังคมเท่านั้น ซึ่งในที่นี้นั้นผู้ศึกษาจึงได้เลือกใช้แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault) เพื่อมาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมา
1.2.1 แนวคิดวาทกรรมกับการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) ของมิเชลล์ ฟูโกต์ (Michel Foucault)
วาทกรรม (Discourse) ในการศึกษาชิ้นนี้ผู้ศึกษามิได้นำวาทกรรมมาใช้ในฐานะของการเป็นเพียง ภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกันเท่านั้น แต่จะยึดโยงกับความหมายเดียวกันกับที่ มิเชลล์ ฟูโกต์ ซึ่งเป็นทั้งนักคิด นักเขียน และนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้กล่าวถึงวาทกรรมไว้ว่า วาทกรรม หมายถึงระบบ และกระบวนการในการสร้าง/ผลิต (Constitute) เอกลักษณ์/อัตลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Significance) ให้กับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความจริง อำนาจ หรือตัวตนของเราเอง นอกจากนั้นแล้ว วาทกรรมยังคงทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นให้ดำรงอยู่และเป็นที่ยอมรับของสังคมในวงกว้าง (Valorize) จนกลายเป็นวาทกรรมหลัก (Dominant Discourse) ขึ้นมาในสังคม และยังมองว่า วาทกรรม คือระบบที่ทำให้การพูด/การเขียนถึง (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องต่าง ๆ ในสังคมหนึ่ง ๆ เป็นไปได้ เพราะวาทกรรมจะเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข และกลไกต่าง ๆ ในการพูด การเขียน (รวมทั้งการปฏิบัติ) ในเรื่องราว/ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 19 – 20) จากที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น จะทำให้ราเห็นว่า วาทกรรมนั้นเป็นมากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือถ้อยแถลงอย่างที่มักนิยมเข้าใจกัน แต่วาทกรรมนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในรูปแบบต่าง ๆ อยู่ ซึ่งรวมถึงจารีตปฏิบัติ ความคิด ความเชื่อ คุณค่า และสถาบันต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ด้วย ในงานเขียนของอาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้ยกคำกล่าวของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหนังสือชื่อว่า “Politics and the study of discourse” มาไว้ในงานเขียนว่า (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 21) “มิเชลล์ ฟูโกต์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า : วาทกรรมถูกสร้างขึ้นจากความแตกต่างระหว่างสิ่งที่สามารถพูดได้อย่างถูกต้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ภายใต้กฎเกณฑ์และตรรกะชุดหนึ่ง) กับสิ่งที่ถูกพูดอย่างแท้จริง สนามของวาทกรรมในขณะใดขณะหนึ่งก็คือกฎเกณฑ์ว่าด้วยความแตกต่างนี้ ฉะนั้น วาทกรรมจึงสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง กฎเกณฑ์นี้จะเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือ การเลือนหายของสรรพสิ่ง นั่นคือควบคู่ไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่สังคมสร้างขึ้น ยังมีการสร้างและการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกพูดถึงโดยวาทกรรมอีกด้วย” เอกลักษณ์และความหมายในความคิดของฟูโกต์ นั้นเป็นเรื่องของการใช้อำนาจและความรุนแรงเข้าไปบังคับยัดเยียดให้เป็นของวาทกรรมชุดหนึ่ง และขณะเดียวกันวาทกรรมดังกล่าวนั้นก็จะเก็บกด บดบัง ปิดกั้น ขจัด หรือทำลายมิให้สิ่งที่แตกไปจากเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่วาทกรรมนั้นสร้างขึ้นมาปรากฏตัวขึ้น มากกว่าเป็นเรื่องของการผูกติดกันอย่างเหนียวแน่นของคุณสมบัติเฉพาะ (Attributes) บางอย่างในตัวของสิ่งเหล่านั้นเอง ที่ทำให้เป็นอยู่อย่างที่เข้าใจกัน เช่น อวัยวะเพศกับความเป็นชาย หรือกับความเป็นหญิง บัตรประจำตัวประชาชน (Identification Card) และหนังสือเดินทาง (Passport) กับความเป็น พลเมือง เหล่านี้เป็นต้น จะเห็นได้ถึงความสอดคล้องสัมพันธ์กันส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องที่เกี่ยวกับวาทกรรมที่อาจารย์ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ที่ได้ตีความมาจากงานเขียนของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ในหลาย ๆ ชิ้น ซึ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับแนวคิดเรื่องตัวกำหนดบทบาททางเพศและสถานภาพทางเพศของ รุ่งวิทย์ มาทงามเมือง ที่ว่าความแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นผลอันเกิดมาจากการที่สังคมอีสานนับเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่ (Patriarchal Society) หาใช่ความแตกต่างที่เป็นความแตกต่างทางเพศที่เป็นเรื่องธรรมชาติ/ธรรมดาแต่อย่างใด
กล่าวโดยรวมแล้วความคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรมของ มิเชลล์ ฟูโกต์ ที่ผู้ศึกษานั้นได้ใช้การศึกษาผ่านการตีความจากงานเขียนของท่านอาจารย์ ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ในงานเขียนเรื่อง “วาทกรรมการพัฒนา : อำนาจ ความรู้ ความจริง และความเป็นอื่น” ดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วนั้น กล่าวโดยรวมในแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องวาทกรรม ของมิเชลล์ ฟูโกต์ ได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า วาทกรรม ในทัศนคติของมิเชลล์ ฟูโกต์ นั้น เป็นเรื่องที่มากกว่าเรื่องของภาษา คำพูด หรือ การตีความ แต่เป็นเรื่องของอำนาจและความรุนแรงที่แสดงออกมาในรูปของภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (Discursive Practices) ในสังคม หรือที่ฟูโกต์ กล่าวไว้ในปาฐกถานำในงานเขียนเรื่อง “The order of discourse” ว่า “ในทุกทุกสังคมการผลิตวาทกรรมจะถูกควบคุม คัดสรร จัดระบบ และแจกจ่ายภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่พลิกแพลงเพื่อให้เรามองไม่เห็นอำนาจ และอันตราย รวมตลอดถึงความน่าเกลียด น่าสะพรึงกลัวของวาทกรรม เพื่อให้วาทกรรมดังกล่าวดำรงความเหนือกว่า/ความเป็นเจ้าในสังคม สำหรับสังคมปัจจุบันของเรา กฎเกณฑ์ที่รู้จักกันดีคือการกีดกัน การเก็บกด/ปิดกั้น ในรูปแบบที่เราคุ้นชินอย่างมากนั่นคือ การห้าม” (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 25)
การวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse and Discourse Analysis) แนวคิดดังกล่าวนี้ของ มิเชลล์ ฟูโกต์ นั้นโดยสาระสำคัญ ๆ แล้วแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับ การพยายามศึกษาและสืบค้นถึงกระบวนการ ขั้นตอน ลำดับเหตุการณ์ และลำดับปลีกย่อยต่าง ๆ ในการสร้างเอกลักษณ์และความหมายต่าง ๆ ให้กับสรรพสิ่งที่ห่อหุ้มเราอยู่ในสังคมในรูปแบบของวาทกรรม และภาคปฏิบัติการของวาทกรรมว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร มีการต่อสู้เพื่อช่วงชิงการนำ (Hegemony) ในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องนั้น ๆ อย่างไรบ้าง มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์อะไรบ้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้าง รวมตลอดถึงการเก็บกด/ปิดกั้น สิ่งเหล่านี้ของวาทกรรมมีอย่างไร (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 27 – 28)
หัวใจของการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นอยู่ที่การค้นหาว่า ด้วยวิธีการ/ด้วยกระบวนการ ใด ๆ ที่สิ่งต่าง ๆ ในสังคมถูกทำให้กลายเป็นวัตถุเพื่อการศึกษา/เพื่อการพูดถึงของวาทกรรม (an object of discourse/discursive object) หรือก็คือการพิจารณาถึงภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนในสังคม (a complex group of relations) ที่เป็นตัวกำหนดการพูดถึงสิ่งนั้น ๆ ซึ่งชุดของความสัมพันธ์ที่มีความสลับซับซ้อนดังกล่าวนี้นั้น ไม่ได้ดำรงอยู่ในตัววัตถุธรรมของวาทกรรมหรือโลกแห่งความเป็นจริง แต่อยู่ภายนอกตัววัตถุธรรมของวาทกรรม และกลับกลายเป็นตัวกำหนดการดำรงอยู่ของตัววัตถุธรรมของวาทกรรมนั้น ๆ อีกต่อหนึ่งในรูปของวาทกรรม ในส่วนของภาคปฏิบัติการจริงที่ฟูโกต์ สนใจนั้นเป็นภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมที่สำคัญ ๆ ในสังคม (Serious Speech Acts) นั่นก็คือวาทกรรมของผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่าง ๆ ภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรมนั้นสถาปนาผู้พูดให้มีอำนาจ/ความชอบธรรมในการพูดถึงเรื่องนั้น ๆ สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์วาทกรรมแล้วนั้นมองว่า มนุษย์ เป็นเพียง ร่างทรง หรือผู้ที่กระทำตาม/ตอกย้ำ/ผลิตซ้ำ (Enact) กฎเกณฑ์ของสิ่งที่พูด มากกว่าที่จะคิดค้นหรือสรรสร้างระบบ/กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา อีประเด็นหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการวิเคราะห์วาทกรรมคือ ในการวิเคราะห์วาทกรรมนั้นมิได้อยู่ที่ว่าคำพูด หรือสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นจริง หรือเป็นเท็จ ในการวิเคราะห์วาทกรรมไม่ได้สนใจในประเด็นเหล่านี้มากเท่าไรนัก หากแต่ความสนใจกลับอยู่ที่กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ที่เป็นตัวกำกับให้การพูด/กระทำนั้นเป็นไปได้ และกฎเหล่านี้นั้นก็ฝังแฝงอยู่ภายในตัวของวาทกรรมเอง (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2543 : 29 – 30)
ในกระบวนการ/ขั้นตอนในการวิเคราะห์วาทกรรม จะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ดูเหมือนง่ายและมีความเป็นรูปธรรมสูงว่า อะไรคือสิ่งที่กำลังพูดถึง/ศึกษาถึง หรือวาทกรรมของสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งการตั้งคำถามดังกล่าวนั้นเป็นการตั้งคำถามที่ตั้งขึ้นเพื่อต้องการตรวจสอบหรือสืบค้นว่าเอกลักษณ์และความหมายของสิ่งที่ถูกตั้งคำถามถึงนั้นว่าถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เพื่อศึกษาถึงชุดกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวกำหนด/สร้างความหมาย (Forms) ให้กับสิ่งที่ถูกตั้งคำถามดังกล่าวนั้น ซึ่งจะช่วยทำให้เราเห็นถึงโยงใยของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่สิ่งสิ่งนั้นดำรงอยู่ ทั้งยังช่วยให้เห็นถึงความลื่นไหลเปลี่ยนแปลงด้วย
สืบค้นจาก http://worrawat.exteen.com/20071128/2-discourse-and-discourse-analysis
ความหมายของ "วาทกรรม"
"วาทกรรม" แปลมาจากคำว่า discourse แนวคิดเรื่องวาทกรรมที่นักวิชาการไทยนำมาเผยแพร่ราว พ.ศ. 2524-2525 นี้เป็นของมิแช็ล ฟูโก้ (Michel Foucault) ซึ่งพยายามเชื่อมโยงเรื่องสำคัญ 3 เรื่องเข้าด้วยกันนั่นคือ ความรู้ อำนาจและความจริง กล่าวโดยรวมๆ ได้ว่าวาทกรรมเป็นการสร้างความรู้ การผลิตความรู้หรือการนิยามความรู้บางอย่างขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจในการกำหนดความจริง
ตัวอย่างเช่นเรื่องของการพัฒนา เรานิยามคำว่า "การพัฒนา" ว่าเป็น "การทำให้ดีขึ้น" แล้วเราก็พยายามจะบอกว่าสภาพที่ดีขึ้นจากการพัฒนาเป็นความจริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้คนคิดว่าการพัฒนาย่อมทำให้ดีขึ้นเสมอ ในขณะที่ในความเป็นจริง การพัฒนาอาจจะทำให้เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ด้วยก็ได้ วาทกรรมเรื่องการพัฒนาจึงเป็นการนิยามให้การพัฒนามีความจริงแต่เพียงด้านเดียว
ถ้าหากเรายอมรับคำนิยามนั้นมาและเชื่อว่ามันเป็นจริง เราก็อาจจะคิดว่าเรา "ด้อยพัฒนา" เรา "โง่ จน เจ็บ" อะไรต่างๆ นานา ความคิดนี้เองจะมีอำนาจมาควบคุมตัวเราให้ปฏิบัติไปในแนวทางที่เชื่อว่าการพัฒนาจะทำให้ดีขึ้นเสมอ อันจะทำให้เราเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่มีคนมาบอกว่าเป็นหรือเกี่ยวข้องกับการพัฒนา เราก็จะเชื่อและปฏิบัติตามโดยมั่นใจว่าสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เราดีขึ้นได้จริงๆ เราจึงยินยอมมอบอำนาจให้รัฐเข้ามาจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของเรา อันจะทำให้เกิดความชอบธรรมในการที่รัฐจะทำสิ่งใดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชนบท
ย้อนกลับไปดูงานของฟูโก้
ที่มาของแนวคิดเรื่องวาทกรรมในงานของฟูโก้เกิดจากความพยายามที่จะอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุนนิยมยุคปัจจุบัน ซึ่งฟูโก้มองว่าการสร้างหลักเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นนั้น แท้จริงแล้วมีลักษณะของ "การครอบงำความคิด" เพราะความคิดเหล่านี้มาควบคุมเราและแนวทางปฏิบัติของเรา เช่น การปลูกฝังให้เราขยันหรือมีวินัยโดยอ้างว่าเป็นการสร้างนิสัยที่ดีนั้น จริงๆ แล้วก็คือการเตรียมเราให้เป็นคนงานที่ดีเพื่อให้ระบบทุนนิยมดำรงอยู่ได้ ฟูโก้จึงพยายามขุดลงไปในเบื้องลึกถึงสิ่งที่เรากำลังเชื่อหรือถูกครอบงำอยู่เพื่อให้เห็นว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่เป็นการนิยามหรือสร้างความจริงขึ้นมา
เริ่มแรก ฟูโก้ใช้แนวคิดเรื่องวาทกรรมมาวิเคราะห์คำนิยามเกี่ยวกับ "ความบ้า" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการที่คนบ้าถูกมองว่าเป็นคนที่แตกต่างจากคนธรรมดานั้นเกิดจากการสร้างนิยามขึ้นมา ซึ่งการสร้างความหมายนี้เกิดขึ้นและทำงานร่วมกับการสร้างสถาบันที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาคนบ้า เมื่อก่อนนั้น คนบ้ากับคนธรรมดาอยู่ร่วมกัน ทำให้เราไม่รู้สึกว่าคนบ้ากับคนธรรมดาต่างกันเท่าใดนัก แต่เมื่อมีสถาบันที่เรียกว่าโรงพยาบาลบ้าเกิดขึ้น ก็ทำให้โรงพยาบาลบ้าเป็นเครื่องมือในการตอกย้ำความหมายของ "ความบ้า" ว่าเป็น "ความจริง"
นอกจากนี้ สถาบันที่เกิดขึ้นยังกินความหมายทั้งในแง่ของการเป็นสถานที่สำหรับให้คนบ้ามาอยู่รวมกันและวิชาการแขนงต่างๆ เช่น วิชาจิตวิเคราะห์ ที่ช่วยกันสร้างเส้นพรมแดนขึ้นเพื่อแยกระหว่างความบ้ากับความไม่บ้า และพรมแดนนี้จะถูกตอกย้ำ ให้นิยามและทำให้เป็นจริงมากขึ้นด้วยวิชาความรู้ ด้วยสถาบันต่างๆ เช่น สถาบันทางวิชาการ สถาบันทางกฎหมาย ซึ่งช่วยกันทำให้เส้นพรมแดนนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เรื่องต่อมาที่ฟูโก้ศึกษาคือเรื่องการแพทย์ โดยชี้ให้เห็นว่า "หมอ" เป็นคนที่สามารถ (และมีอำนาจ) ชี้ว่าคนนี้ป่วยหรือไม่ป่วย ดังนั้น พอหมอบอกว่าป่วย เราก็คิดว่าป่วยจริงเพราะหมอมีวิชาความรู้ที่จะมาสร้างเส้นแบ่งนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราเข้าโรงพยาบาล ก็หมายความว่าเรา "ป่วย" ไปเรียบร้อยแล้ว
อีกเรื่องที่ฟูโก้ศึกษาคือเรื่องคนคุกหรือนักโทษ เมื่อเราถูกกฎหมายกำหนดและถูกศาลตัดสินให้เราไปอยู่ในคุก คุกก็จะทำหน้าที่ตอกย้ำความผิดทางกฎหมายหรือความเป็นคนผิดกฎหมายและสร้างเส้นแบ่งระหว่างคนผิดกับคนถูก ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราไม่อาจทราบว่าเราผิดหรือถูกกฎหมายอย่างที่เขาบอกจริงๆ ไหม ในงานศึกษาชิ้นนี้ ฟูโก้ใช้คำว่า discipline and punish ซึ่ง discipline ในที่นี้นอกจากจะหมายถึงกฎระเบียบต่างๆ แล้ว ยังหมายถึงสาขาวิชาหรือองค์ความรู้ต่างๆ ที่เข้ามาช่วยกันตอกย้ำความเป็นคนผิดกฎหมายหรือคนคุกด้วย
เรื่องสุดท้ายที่ฟูโก้ศึกษาคือเรื่อง sexuality กล่าวคือคนที่เป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือกะเทยจะถูกสร้างเส้นแบ่งหรือถูกนิยามจากความรู้ทางชีววิทยาและการแพทย์ว่าเพศในลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ต้นแล้ว หลังจากที่มีการสร้างเส้นแบ่ง คนก็จะยอมรับความจริงตามที่เขานิยาม ความจริงที่เขานิยามนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีอำนาจมาจำกัดหรือควบคุมตัวเราให้ปฏิบัติไปตามที่เราเชื่อว่าเป็นจริง นั่นคือพอเรายอมรับ เราก็จะถูกกำหนดโดยนิยามนั้นทันที
ตัวอย่างของการนำแนวคิดเรื่อง "วาทกรรม" มาศึกษาสังคมไทย
ขอยกตัวอย่างคำนิยามของคำว่า "ป่า" ซึ่งมีความพยายามจะบอกว่าป่าคือธรรมชาติที่มีมาก่อนดั้งเดิม และพยายามจะเผยแพร่ความหมายนี้ออกไปจนทำให้เราคิดว่าคนที่อาศัยอยู่ในป่าแต่เดิมนั้น ไม่ควรจะอยู่อีกต่อไป เนื่องจากป่ามีมาก่อนที่จะมีคนอยู่ การนิยามแบบนี้ทำให้คนรู้สึกว่าการอยู่ในป่าเป็นสิ่งที่ผิด
ในขณะเดียวกัน ก็มีความพยายามที่จะตอบโต้จากคนที่อยู่ในป่าว่าคนอยู่ในป่าได้ถ้ามีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับการรักษาป่า จากกรณีนี้ เราจะพบว่าการศึกษาเรื่องวาทกรรมนั้นมิได้มุ่งศึกษาเฉพาะเรื่องของวาทกรรมที่ครอบงำอยู่แต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น หากยังศึกษาเรื่องของการตอบโต้ทางวาทกรรมด้วย ซึ่งการตอบโต้นี้มีได้หลายรูปแบบ
การศึกษาเรื่องวาทกรรมจึงมีทั้งการศึกษาเรื่องของกระบวนการการครอบงำความคิดและเรื่องของกลยุทธ์และความพยายามในการ "ช่วงชิงความหมาย" ว่าใครจะมีกลวิธีอย่างไรในการ (แย่งกัน) กำหนดนิยามให้เรื่องต่างๆ และทำอย่างไรให้นิยามนั้นเป็นที่ยอมรับของคนอื่น
ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องวาทกรรม
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการช่วยให้เราได้ "เปิดมุมมอง" และตระหนักว่าสิ่งที่เรา (เคย) เชื่อว่าเป็นความจริงนั้น ที่แท้ กลับเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา อย่างเช่น วาทกรรมเรื่องการพัฒนา วาทกรรมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรือแม้กระทั่งวาทกรรมที่ว่าด้วยความเป็นไทยในกระแสหลัก วาทกรรมเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ผู้สร้างมี "อำนาจ" ในการกระทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างชอบธรรม อย่างเช่น เมื่อเรานิยามว่าผู้ที่ติดยาบ้าคือคนไม่ดี แม้เราฆ่าตายไป เราก็ไม่ผิด เช่นเดียวกับเมื่อก่อนที่มีการนิยามว่าคนที่เชื่อถือในแนวคิดคอมมิวนิสต์คือคนไม่ดี การฆ่าคนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ผิด (อย่างที่มีพระผู้ใหญ่เทศน์ออกวิทยุว่าเปรียบเสมือนการฆ่าปลาถวายพระ การฆ่าคนที่เป็น "คอมมิวนิสต์" จึงไม่บาป)
เมื่อนิยามหรือแนวคิดนี้แพร่หลายไปจนเป็นที่ยอมรับ หลายคนก็จะไม่ตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยวาทกรรมนั้นจะทำหน้าที่ปิดหูปิดตา ไม่ให้เรามองลึกลงไปถึงความเป็นจริงหรือแง่มุมอื่นๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่เราอาจพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสามารถมีหลายด้านและสามารถมองได้จากหลายแง่มุม มิได้เป็นความจริงเพียงอย่างเดียวและไม่ได้มีความจริงเพียงด้านเดียว
การศึกษาเรื่องวาทกรรมจึงช่วยให้เรามองเห็นและตระหนักว่าเรื่องต่างๆ มีหลายด้าน ความเป็นจริงในเรื่องเดียวกันนั้นมีหลากหลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้สร้างวาทกรรมครอบงำที่พยายามจะบอกว่านิยามที่เขากำหนดหรือสร้างขึ้นนั้นเป็นสากล สามารถใช้ได้กับทุกกรณีและเป็นความจริงแท้เพียงอย่างเดียว
สืบค้นจากเว็ปไซต์
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
10 พฤศจิกายน 2552
วันนี้ได้พูดถึงแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี กับการพัฒนาศักยภาพนักศึกษา
ซึ่งหลักๆ มีขอบเขตคือ
- การออกแบบแผนอุดมศึกษาระยะยาว ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551-2565)
- สิ่งที่ต้องพัฒนานักศึกษาตามแผนอุดมศึกษาระยะยาว
- แนวทางพัฒนานักศึกษา
หลักจากนั้น อ.ก็ได้พูดคุยถึงความเป็นครู
และได้ร้องเพลงแปลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครู
ซึ่งทำให้เรา ได้รู้สึกดีกับ อ.มาก เรียนไม่เครียดดี
ต่อมาเราได้ทำกิจกรรม โดย อ.ได้ให้รูปมารูป แล้วให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูป ว่าเห็นอะไรในรูป และรู้สึกอย่างไรบ้าง

ซึ่งผมได้ให้ข้อมูลว่า
เห็นภาพที่เป็นป้ายห้ามอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับนกแล้มมีนกเกาะอยู่เหนื่อป้ายนั้น
ซึ่งเมื่อเห็นแล้วรู้สึกถึงความไม่เป็นระเบียบวินัย การไม่อยู่ในกรอบอยู่ในกฎ
ซึ่งทำให้ผมได้นึกถึงคนในสังคมปัจจุบันบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับในกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง
ที่ได้ตั้งไว้ มุ่งที่จะอยู่เหนือกฎหมาย เอาแต่ประโยชนส่วนตัวทำเพื่อพวกพ้องในกลุ่ม ไม่สนใจผลประโยชน์
ส่วนรวมเป็นหลัก นั้นเอง
**ซึ่งความคิดเห็นนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของผมเพียงผู้เดียว
คนอื่นนั้นก็มีความคิดที่แตกต่างกันไป
ซึ่งทำให้ผมได้รู้ว่า ในการคิดนั้นคนเราสามารถคิดได้หลายอย่าง
ย่อมมีทั้งบวกทั้งลบ มีดีมีเลว ซึ่งทำให้ผมนึกถึงบทกลอนที่ว่า
********อย่าฟังความทุกอย่างแต่ข้างร้าย********
*****2+2 มิใช่หมายกลายเป็น 4*************
*****ทราย 2 กอง บวงคูณพูลทวี*************
*****กลายเป็น 1 ทันที ใช่ 4 กอง************
ซึ่งสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เรารับรู้ และเห็นคุณค่าของเรื่องเดียวกันต่างกัน ไน่จะมีมาจาก
-----ความคิด คือ วิธีการคิดที่ต่างกัน
-----ประสบการณืเดิม คือ สิ่งที่ได้รับรู้ เรียนรู้ ที่ผ่านมา
-----พื้นฐานครอบครัว คือ สิ่งที่ครอบครัวแต่ละครอบครัวปลูกฝังมา อาจจะปลูกฝังทั้งทางด้านบวก และด้านลบ
-----ข้อมูลที่ได้รับ คือ การที่ได้รับข่าวสาร จากแหล่งต่างๆ นั่นเอง..............
ซึ่งหลักๆ มีขอบเขตคือ
- การออกแบบแผนอุดมศึกษาระยะยาว ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551-2565)
- สิ่งที่ต้องพัฒนานักศึกษาตามแผนอุดมศึกษาระยะยาว
- แนวทางพัฒนานักศึกษา
หลักจากนั้น อ.ก็ได้พูดคุยถึงความเป็นครู
และได้ร้องเพลงแปลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครู
ซึ่งทำให้เรา ได้รู้สึกดีกับ อ.มาก เรียนไม่เครียดดี
ต่อมาเราได้ทำกิจกรรม โดย อ.ได้ให้รูปมารูป แล้วให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูป ว่าเห็นอะไรในรูป และรู้สึกอย่างไรบ้าง

ซึ่งผมได้ให้ข้อมูลว่า
เห็นภาพที่เป็นป้ายห้ามอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับนกแล้มมีนกเกาะอยู่เหนื่อป้ายนั้น
ซึ่งเมื่อเห็นแล้วรู้สึกถึงความไม่เป็นระเบียบวินัย การไม่อยู่ในกรอบอยู่ในกฎ
ซึ่งทำให้ผมได้นึกถึงคนในสังคมปัจจุบันบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับในกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง
ที่ได้ตั้งไว้ มุ่งที่จะอยู่เหนือกฎหมาย เอาแต่ประโยชนส่วนตัวทำเพื่อพวกพ้องในกลุ่ม ไม่สนใจผลประโยชน์
ส่วนรวมเป็นหลัก นั้นเอง
**ซึ่งความคิดเห็นนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของผมเพียงผู้เดียว
คนอื่นนั้นก็มีความคิดที่แตกต่างกันไป
ซึ่งทำให้ผมได้รู้ว่า ในการคิดนั้นคนเราสามารถคิดได้หลายอย่าง
ย่อมมีทั้งบวกทั้งลบ มีดีมีเลว ซึ่งทำให้ผมนึกถึงบทกลอนที่ว่า
********อย่าฟังความทุกอย่างแต่ข้างร้าย********
*****2+2 มิใช่หมายกลายเป็น 4*************
*****ทราย 2 กอง บวงคูณพูลทวี*************
*****กลายเป็น 1 ทันที ใช่ 4 กอง************
ซึ่งสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เรารับรู้ และเห็นคุณค่าของเรื่องเดียวกันต่างกัน ไน่จะมีมาจาก
-----ความคิด คือ วิธีการคิดที่ต่างกัน
-----ประสบการณืเดิม คือ สิ่งที่ได้รับรู้ เรียนรู้ ที่ผ่านมา
-----พื้นฐานครอบครัว คือ สิ่งที่ครอบครัวแต่ละครอบครัวปลูกฝังมา อาจจะปลูกฝังทั้งทางด้านบวก และด้านลบ
-----ข้อมูลที่ได้รับ คือ การที่ได้รับข่าวสาร จากแหล่งต่างๆ นั่นเอง..............
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ และ เอกลักษณ์
เอกลักษณ์ (อ่านว่า เอก-กะ-ลัก) หมายถึงลักษณะเฉพาะตัว ลักษณะที่เหมือนกันหรือมีร่วมกัน หรือลักษณะที่แสดงความเป็นอย่างเดียวกันของคนในสังคมหนึ่งๆ ซึ่งแตกต่างจากลักษณะร่วมของคนในสังคมอื่น เช่น คนไทยมีเอกลักษณ์เป็นคนสนุกสนาน ให้อภัยง่าย ลืมง่าย รักอิสระ รักศักดิ์ศรี เป็นต้น ลักษณะนี้ถือเป็นลักษณะรวมๆของคนไทยโดยทั่วไปที่แตกต่างจากคนชาติอื่น แต่คนไทยแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของตนเองที่อาจจะไม่เหมือนคนอื่นด้วย การใช้คำว่าเอกลักษณ์จึงต้องเข้าใจว่าจะใช้ในระดับใด เอกลักษณ์ของใคร คำว่าเอกลักษณ์ บัญญัติให้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า identity เช่น คณะอนุกรรมการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการชุดนี้มองหาลักษณะเฉพาะของชาติไทยในด้านความเป็นชาติ ประชากร อธิปไตยของชาติ การปกครอง ศาสนา พระมหากษัตริย์ วัฒนธรรม และเกียรติภูมิของชาติ แล้วนำมาเผยแพร่เพื่อส่งเสริมให้เห็นคุณค่าและร่วมมือกันอนุรักษ์ไว้
อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต กับคำว่า ลักษณ์ อัต มาจากคำว่า อตฺต แปลว่า ตน ตัวเอง อัตลักษณ์ จึงแปลว่า ลักษณะของตนเอง ลักษณะของตัวเอง เป็นศัพท์ที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติให้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า character เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลซึ่งรวมสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติที่แสดงออกเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น แต่ปัจจับัน มีการนำคำว่าอัตลักษณ์ไปใช้แทนคำว่า ตน ตัว เช่น หนังสือเรื่องนี้ปรากฏอัตลักษณ์ของนักเขียนแจ่มแจ้งทีเดียว ครูควรช่วยนักเรียนให้พัฒนาอัตลักษณ์ของเขาได้อย่างเหมาะสม หรือใช้ อัตลักษณ์เพื่อแทนคำว่า เอกลักษณ์ คำทั้งสองคำนี้อาจจะดูมีความหมายใกล้เคียงกันมาก แต่มีลักษณะเน้นต่างกัน อัตลักษณ์เน้นลักษณะทั้งหมดของบุคคลโดยไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร ส่วนเอกลักษณ์เน้นลักษณะที่เป็นหนึ่ง ลักษณะที่โดดเด่นซึ่งเป็นส่วนที่แยกบุคคลนั้นออกจากบุคคลอื่น
ข้อมูลจาก เว็บไซต์ http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=3275&stissueid=2606&stcolcatid=2&stauthorid=19
อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต กับคำว่า ลักษณ์ อัต มาจากคำว่า อตฺต แปลว่า ตน ตัวเอง อัตลักษณ์ จึงแปลว่า ลักษณะของตนเอง ลักษณะของตัวเอง เป็นศัพท์ที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติให้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า character เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลซึ่งรวมสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติที่แสดงออกเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น แต่ปัจจับัน มีการนำคำว่าอัตลักษณ์ไปใช้แทนคำว่า ตน ตัว เช่น หนังสือเรื่องนี้ปรากฏอัตลักษณ์ของนักเขียนแจ่มแจ้งทีเดียว ครูควรช่วยนักเรียนให้พัฒนาอัตลักษณ์ของเขาได้อย่างเหมาะสม หรือใช้ อัตลักษณ์เพื่อแทนคำว่า เอกลักษณ์ คำทั้งสองคำนี้อาจจะดูมีความหมายใกล้เคียงกันมาก แต่มีลักษณะเน้นต่างกัน อัตลักษณ์เน้นลักษณะทั้งหมดของบุคคลโดยไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร ส่วนเอกลักษณ์เน้นลักษณะที่เป็นหนึ่ง ลักษณะที่โดดเด่นซึ่งเป็นส่วนที่แยกบุคคลนั้นออกจากบุคคลอื่น
ข้อมูลจาก เว็บไซต์ http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=3275&stissueid=2606&stcolcatid=2&stauthorid=19
ความหมายของคำว่า อัตลักษณ์
อัตลักษณ์ ตามความหมายของคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติ
คำว่า อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต (อัด-ตะ) ซึ่งหมายถึง ตน หรือ ตัวเอง กับ ลักษณ์ ซึ่งหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว. คำว่า อัตลักษณ์ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า identity (อ่านว่า ไอ-เด็น-ติ-ตี้) หมายถึง ผลรวมของลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นที่รู้จักหรือจำได้ เช่น นักร้องกลุ่มนี้มีอัตลักษณ์ทางด้านเสียงที่เด่นมาก ใครได้ยินก็จำได้ทันที. สังคมแต่ละสังคมมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง. โลกาภิวัตน์ทำให้อัตลักษณ์ของสังคมไทยเปลี่ยนไป.
หากมาจากอีกทีมาก็จะมีความหมายที่คล่ายๆ กันคือ
อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต กับคำว่า ลักษณ์ อัต มาจากคำว่า อตฺต แปลว่า ตน ตัวเอง อัตลักษณ์ จึงแปลว่า ลักษณะของตนเอง ลักษณะของตัวเอง เป็นศัพท์ที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติให้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า character เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลซึ่งรวมสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติที่แสดงออกเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น แต่ปัจจับัน มีการนำคำว่าอัตลักษณ์ไปใช้แทนคำว่า ตน ตัว เช่น หนังสือเรื่องนี้ปรากฏอัตลักษณ์ของนักเขียนแจ่มแจ้งทีเดียว ครูควรช่วยนักเรียนให้พัฒนาอัตลักษณ์ของเขาได้อย่างเหมาะสม นั้นเอง
ข้อมูลจาก เว็บไซต์ http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=1583
คำว่า อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต (อัด-ตะ) ซึ่งหมายถึง ตน หรือ ตัวเอง กับ ลักษณ์ ซึ่งหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว. คำว่า อัตลักษณ์ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า identity (อ่านว่า ไอ-เด็น-ติ-ตี้) หมายถึง ผลรวมของลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นที่รู้จักหรือจำได้ เช่น นักร้องกลุ่มนี้มีอัตลักษณ์ทางด้านเสียงที่เด่นมาก ใครได้ยินก็จำได้ทันที. สังคมแต่ละสังคมมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง. โลกาภิวัตน์ทำให้อัตลักษณ์ของสังคมไทยเปลี่ยนไป.
หากมาจากอีกทีมาก็จะมีความหมายที่คล่ายๆ กันคือ
อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า อัต กับคำว่า ลักษณ์ อัต มาจากคำว่า อตฺต แปลว่า ตน ตัวเอง อัตลักษณ์ จึงแปลว่า ลักษณะของตนเอง ลักษณะของตัวเอง เป็นศัพท์ที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติให้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า character เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลซึ่งรวมสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติที่แสดงออกเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น แต่ปัจจับัน มีการนำคำว่าอัตลักษณ์ไปใช้แทนคำว่า ตน ตัว เช่น หนังสือเรื่องนี้ปรากฏอัตลักษณ์ของนักเขียนแจ่มแจ้งทีเดียว ครูควรช่วยนักเรียนให้พัฒนาอัตลักษณ์ของเขาได้อย่างเหมาะสม นั้นเอง
ข้อมูลจาก เว็บไซต์ http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=1583
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)